สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน

สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน

วันที่นำเข้าข้อมูล 26 ก.ค. 2561

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 14,546 view
ข้อมูลทั่วไป
 
ที่ตั้ง ทิศตะวันตกติดกับอิหร่านและอัฟกานิสถาน ทิศเหนือติดกับจีน ทิศตะวันออกติดกับอินเดีย และทิศใต้ติดกับทะเลอาหรับ 
 
พื้นที่ 796,096 ตารางกิโลเมตร (ไทยมีพื้นที่ราวร้อยละ 75 ของปากีสถาน) 
 
เมืองหลวง กรุงอิสลามาบัด (Islamabad) 
 
เมืองสำคัญ เมืองการาจี (Karachi) เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางเศรษฐกิจตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศ และเป็นเมืองหลวงเก่า เมืองละฮอร์ (Lahore) เป็นเมืองศูนย์กลางของธุรกิจอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของประเทศ อยู่ใกล้ชายแดนปากีสถาน - อินเดีย    
 
ภูมิอากาศ บริเวณส่วนใหญ่ของประเทศมีอากาศร้อนและแห้งแล้ง ยกเว้นภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่อากาศอบอุ่น และภาคเหนือมีอากาศเย็น     
 
ประชากร 185 ล้านคน,(ไทย : 67.7 ล้านคน)   
 
ภาษา ภาษาอูรดูเป็นภาษาประจำชาติ  ส่วนภาษาอังกฤษใช้ในรัฐบาลกลางและภาคธุรกิจ และมีการใช้ภาษาท้องถิ่นอื่นๆ อาทิ ปัญจาบี ซินธี ปัชตุน และบาลูชี 
 
ศาสนา ประชากรร้อยละ 97 นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 77 เป็นนิกายสุหนี่ และร้อยละ 20 เป็นนิกายชีอะห์) นอกจากนั้น มีศาสนาคริสต์ ฮินดู และอื่นๆ รวมร้อยละ 3 
 
วันชาติ วันที่ 23 มีนาคม (Pakistan Day) 
 
ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตย   
 
ประมุขของรัฐ ประธานาธิบดี (นายมามนูน ฮุสเซน - Mamnoon Hussain) ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2556 มีวาระการดำรงตำแหน่งสมัยละ 5 ปี 
 
หัวหน้าฝ่ายบริหาร นายกรัฐมนตรี นายมูฮัมหมัด นาวาซ ชารีฟ (Mr. Muhammad Nawaz Sharif)  
 
รมว.กต. ยังไม่แต่งตั้ง นายซาร์ตาจ อะซิส (Sartaj Aziz) ที่ปรึกษา นรม. ด้านความมั่นคงและการต่างประเทศเป็นผู้ดูแลกระทรวงการต่างประเทศ
 
หน่วยเงินตรา รูปีปากีสถาน (Pakistani Rupee) อัตราแลกเปลี่ยน 1 รูปีปากีสถาน เท่ากับ 0.34 บาท (ปี 2556) 
 
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 7.2, ไทย : ร้อยละ 1.9 
 
เงินทุนสำรอง 14.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2557), ไทย : 157.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 
ผลิตภัณฑ์มวลรวม  246.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2557), ไทย : 373.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
รายได้ประชาชาติ 1,334.1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน ต่อปี (ปี 2557),  ไทย : 5519.4 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคน ต่อปี (ปี 2557)
 
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ   ร้อยละ 5.4 (ปี 2557), ไทย : ร้อยละ 0.7
 
อุตสาหกรรมหลัก  อุตสาหกรรมสิ่งทอ แปรรูปอาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ ยารักษาโรค 
 
สินค้าส่งออกสำคัญ ฝ้ายดิบ ด้าย เครื่องนอน ข้าว เครื่องหนัง เคมีภัณฑ์ 
 
สินค้านำเข้าสำคัญ น้ำมันปิโตรเลียม พลาสติก เหล็กและเหล็กกล้า รถยนต์ 
 
การเมืองการปกครอง 
 
ปัญหาการเมืองภายในประเทศ
 
      ในอดีต ปากีสถานอยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี พลเอก เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ (Pervez Musharraf) โดยการปฏิวัติ ตั้งแต่ปี 2542 อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี มูชาร์ราฟ ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551 เนื่องจากถูกโจมตีว่าได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรมและบริหารประเทศโดยควบตำแหน่งผู้นำทางการทหารและเป็นผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ แม้ว่าประธานาธิบดีมูชาร์ราฟจะเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองมีบทบาททางการเมืองผ่านการเลือกตั้งและรัฐสภา แต่ประธานาธิบดีมูชาร์ราฟยังคงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด กอปรกับที่ผ่านมา ประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และชาติตะวันตกได้มองข้ามปัญหาการเมืองภายในปากีสถาน เนื่องจากพอใจกับนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีมูชาร์ราฟที่ให้ความร่วมมือในการปราบปรามและต่อต้านการก่อการร้ายโดยเฉพาะกลุ่มตาลีบันในดินแดนอัฟกานิสถาน
 
      ภายหลัง พลเอก มูชาร์ราฟ ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว รัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรค Pakistan’s People Party (PPP) ได้เสนอชื่อนาย อาซีฟ อาลี ซาร์ดารี (Asif Ali Zadari) สามีของนางเบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน (ระหว่างปี 2531 - 2533 และ 2536 - 2539) ซึ่งถูกลอบสังหารด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2551 ทั้งนี้ นายซาร์ดารี ได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นและได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 โดยนับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นายซาร์ดารีดำเนินนโยบายไม่แก้แค้นคู่แข่งทางการเมืองเช่นในอดีต แต่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาอาหาร สินค้าและพลังงานมี ราคาแพง ในส่วนของพรรคการเมืองสำคัญอื่นๆ ของปากีสถาน บุคคลที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองอีกคน คือ นายนาวาซ ชารีฟ (Nawaz Sharif) อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2533 - 2536 และปี 2541 - 2542) ปัจจุบัน นายชารีฟดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านปากีสถานและประธานพรรค Pakistan Muslim League-Nawaz (PML-N) ซึ่งเคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรค PPP แต่ต่อมา นายชารีฟได้ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 เนื่องจากเห็นว่า รัฐบาลปากีสถานชุดปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีซาร์ดารีมีท่าทีที่ประนีประนอมกับอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟและฝ่ายกองทัพ
 
      ขณะที่สถานการณ์การเมืองภายในปากีสถานมีความวุ่นวายมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ศาลฎีกาปากีสถานตัดสินให้ตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งของนายนาวาซ ชารีฟ และพ้นหน้าที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เนื่องจากนายชารีฟเคยถูกตัดสินว่ากระทำความผิด (ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ในการสั่งการห้ามไม่ให้เครื่องบินซึ่งมีพลเอกมูชาร์ราฟ (ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก) เดินทางมาด้วย บินกลับเข้าประเทศปากีสถาน ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายชารีฟ จึงถูกยึดอำนาจโดยการก่อรัฐประหารของพลเอกมูชาร์ราฟ เมื่อปี 2542 อนึ่ง คำสั่งศาลฎีกาในการตัดสิทธิทางการเมืองของนายชารีฟดังกล่าวได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงทั้งในกรุงอิสลามาบัดและเมืองการาจี แคว้นปัญจาบซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของนายชารีฟ และพรรค PML-N
 
     อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552 รัฐบาลปากีสถานได้แสดงความประนีประนอมเพื่อลดกระแสกดดันทางการเมือง โดยยอมให้พรรค PML-N บริหารรัฐปัญจาบต่อไป พร้อมทั้งคืนตำแหน่งประธานศาลสูงสุดให้นายอิฟติคการ์ มูฮัมหมัด โชดรี (Iftikhar Muhammad Chaudhry) ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่ง ในสมัยประธานาธิบดีมูชาราฟ โดยหลายฝ่ายมองว่าการกระทำดังกล่าวของรัฐบาล ก็เพื่อเรียกคะแนนนิยม 
ของพรรค PPP กลับมา ภายหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีซาร์ดารีกับนายกรัฐมนตรียูซาฟ ราซา กิลลานี (Yousaf Raza Gilani) และกลุ่มเครือญาติของอดีตนายกรัฐมนตรี เบนาซีร์ บุตโต สืบเนื่องจากการที่พรรคถูกโจมตีว่ามีท่าทีรอมชอมกับอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟ
 
      เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 นายโชดรี ประธานศาลสูงสุด พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาศาลสูงสุด รวม 14 คน ได้ตัดสินคดีที่มีผู้ร้องขอให้พิจารณาการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเฉพาะกาล (Provisional Constitution Ordinance – PCO) ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ในสมัยอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟว่า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยศาลได้ตัดสินให้การดำเนินการและข้อตัดสินใดๆ ก็ตามของอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟ ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล (PCO) แทนรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1973 (2516) เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและให้ถือเป็นโมฆะตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้น คำสั่งของอดีตประธานาธิบดีมูชาราฟในการแต่งตั้งประธานศาลสูงสุด ผู้พิพากษาศาลสูงสุดและผู้พิพากษาศาลสูง จำนวนทั้งสิ้น 76 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 ที่ถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ภายใต้ PCO จึงถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ถือเสมือนว่าตำแหน่งเหล่านั้นไม่เคยว่างลง อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2552 ศาลสูงสุดแห่งปากีสถานได้ออกมาประกาศว่า ผลจากการพิพากษาของศาลฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อตำแหน่งประธานาธิบดีของนายซาร์ดารี ซึ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 โดยมีนายอับดุล ฮามีด โดการ์ (Abdul Hameed Dogar) ซึ่งเป็นประธานศาลสูงสุดที่ได้รับแต่งตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเฉพาะกาล เป็นประธานในพิธีก็ตาม
 
      นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ศาลฎีกาโดยองค์คณะผู้พิพากษาเต็มคณะจำนวน 17 คน นำโดยนายโชดรี ประธานศาลสูงสุด ได้มีคำวินิจฉัยตัดสินระบุให้กฎหมายสมานฉันท์แห่งชาติ (National Reconciliation Ordinance – NRO) ซึ่งออกโดยอดีตประธานาธิบดีมูชาร์ราฟ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2550 เพื่อเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่มีคดีความเกี่ยวกับการทุจริตสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปของปากีสถาน เมื่อต้นปี 2551 เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้น การดำเนินการหรือคำสั่งใดๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมาย NRO ซึ่งรวมถึงการระงับการดำเนินคดีความต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกฎหมาย ให้ถือด้วยว่า ไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีผลทางกฏหมาย คดีความต่างๆ ที่เคยถูกวินิจฉัยและสอบสวน แต่ได้ถูกระงับไว้ภายใต้การประกาศกฏหมาย NRO ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8,000 คดี ก็ให้กลับมาดำเนินคดีใหม่ โดยให้มีสถานะกลับไปเหมือนดังที่เคยเป็นก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2550
 
      ดังนั้น ผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ประธานาธิบดีซาร์ดารี รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ในรัฐบาลปากีสถานปัจจุบัน อาทิ นายราห์มาน มาลิก (Rahman Malik) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอะห์หมัด มุคตาร์ (Ahmad Mukhtar) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนักการเมืองจำนวนมากโดยเฉพาะที่สังกัดพรรครัฐบาล ตลอดจนข้าราชการระดับสูงจึงอยู่ในข่ายต้องถูกกลับมาดำเนินคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยขณะนี้ สำนักงานการตรวจสอบแห่งชาติ (The National Accountability Bureau – NAB) อยู่ระหว่างการยื่นเสนอรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายต้องถูกรื้อฟื้นการดำเนินคดี (exit control list) ซึ่งคาดว่ามีจำนวน 247 คน ให้แก่รัฐบาลเพื่อดำเนินคดีต่อไป ขณะที่ประธานาธิบดีซาร์ดารี ซึ่งเคยถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินจำนวนราว 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ (คดีเกิดก่อนวันที่ 5 ตุลาคม 2550) จะยังคงได้รับความคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดี เนื่องจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญปากีสถาน
 
      ล่าสุด เมื่อ 19 เมษายน 2553 รัฐบาลปากีสถานได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 18 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การยกเลิกอำนาจสำคัญของประธานาธิบดี อาทิ การแต่งตั้ง ผู้พิพากษาศาลสูงสุด การแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ การแต่งตั้งประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง การยุบสภา การประกาศใช้ภาวะฉุกเฉินในรัฐต่างๆ โดยมอบให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ รวมถึง มีการยกเลิกกฏหมายห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 2 สมัย ตลอดจนมีการเปลี่ยนชื่อรัฐ North Western Frontier Provinces (N.W.F.P.) เป็นรัฐ Khyber-Pakhtoonkhwa การอนุมัติจัดตั้งศาลสูงแห่งเมืองเปชาวาร์ และศาลสูงแห่งรัฐบาลบาโลจิสถาน ทั้งนี้ หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มุ่งจะเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยและเป็นชัยชนะทางการเมืองร่วมกันของทุกฝ่ายในปากีสถาน
 
ปัญหากลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศ
 
     ปากีสถานดำเนินยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหากลุ่มตาลีบันและการก่อการร้ายตามแนวชายแดนปากีสถานอัฟกานิสถาน โดยพยายามใช้การเจรจากับกลุ่มตาลีบันและกลุ่มก่อการร้ายในเขตชนเผ่า (Federally Administered Areas-FATA) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ รวมทั้ง การเจรจากับกลุ่มที่ยอมรับและเคารพกฎหมาย อย่างไรก็ดี รัฐบาลปากีสถานจะใช้กำลังเข้าปราบปรามกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง โดยได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือด้านการเงิน และการทหารจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
 
     แม้ว่ารัฐบาลปากีสถาน โดยนายกรัฐมนตรีกิลลานี ได้ประกาศสงครามกวาดล้าง 
กลุ่มก่อการร้ายอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ 7 พฤษภาคม 2552 แต่ปากีสถานยังคงประสบปัญหาการก่อการร้ายอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่กลุ่มตาลีบันได้ตอบโต้รัฐบาลปากีสถานที่ได้ดำเนินการปฏิบัติการ Rah-e-Nejat และปฏิบัติการ Rah-e-Rast เพื่อเข้ายึดพื้นที่ในเขตรัฐ N.W.F.P. ตั้งแต่พฤศจิกายน 2552 และกุมภาพันธ์ 2553 ตามลำดับ รวมถึงการที่รัฐบาลปากีสถานได้เร่งจับกุมกลุ่มตาลีบันอัฟกานิสถาน (Afghan Taliban) ที่มีแหล่งพักพิงในปากีสถาน อาทิ การจับกุมมุลลอฮ์ อับดุล กานี บาราดาร์ (Mullah Abdul Ghani Baradar) แกนนำลำดับสองของกลุ่มตาลีบันที่เมืองการาจี ขณะที่ปฏิบัติการตอบโต้รัฐบาลปากีสถานของกลุ่มตาลีบันได้มุ่งเป้าหมายต่อสถานที่ราชการและแหล่งชุมชนทั้งในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ อาทิ กรุงอิสลามาบัด เมืองการาจี และราวัลปินดี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย และระเบิดรถยนต์ (car bomb) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สามารถคาดการณ์เรื่องเวลาหรือสถานที่ได้
 
      ทั้งนี้ เมื่อ 29 มกราคม 2553 หน่วยข่าวกรอง (Inter Service Intelligence - ISI) ของปากีสถาน ได้จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตในกรุงอิสลามาบัด โดยได้เน้นย้ำว่า ปากีสถานได้ทุ่มเททรัพยากร ทั้งในด้านบุคคลากรและงบประมาณ ตลอดจนการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับกองทัพสหรัฐฯ และ NATO ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคเอเชียใต้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค อย่างไรก็ดี รัฐบาลปากีสถานจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนด้านต่างๆ จากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งจากต่างประเทศ 
การต่างประเทศ 
 
      ในภาพรวม ปากีสถานให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแข็งขันในสงครามโค่นล้มรัฐบาล 
ตาลีบันในอัฟกานิสถาน และภายหลังการก่อเหตุวินาศกรรมที่อาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นครนิวยอร์ก 
(เหตุการณ์ 9/11) เมื่อปี 2544 ตลอดจนเข้าร่วมการปราบปรามการก่อการร้ายอันเป็นผลจากสงครามดังกล่าว แต่ประเด็นนี้ได้ทำให้กลุ่มการเมืองและกลุ่มต่อต้านต่างๆ โจมตีรัฐบาล เพราะเห็นว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายเข้าข้างสหรัฐฯ และชาติตะวันตกมากเกินไป นอกจากนี้ ยังมีปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียใต้ 
ซึ่งเป็นเหตุผลให้รัฐบาลปากีสถานต้องมุ่งความสนใจมากระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศในเอเชียอื่นๆ 
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจอีกด้วย 
 
      ขณะที่ในกรอบพหุภาคี ปากีสถานเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ กลุ่มประเทศ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non Aligned Movement - NAM) สมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asian Association for Regional Cooperation - SAARC) องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conferences - OIC) องค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Economic Cooperation Organization - ECO) และการประชุมว่าด้วยการแสวงหามาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia - CICA) นอกจากนั้น ปากีสถานยังเป็นประเทศ คู่เจรจาเฉพาะด้าน (Sectoral Dialogue Partner) ของอาเซียน ตั้งแต่ปี 2541 และได้เข้าร่วมในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ตั้งแต่ปี 2547 สำหรับความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอื่นๆ ได้แก่ ความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ซึ่งปากีสถานรับผิดชอบในการจัดตั้ง Asian Institute of Standards และได้เป็นเจ้าภาพการประชุม ACD ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 5 - 6 เมษายน 2548 
 
       ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับประเทศสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ รัฐบาลปากีสถาน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ซาร์ดารี ได้ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างแข็งขันในการต่อต้านและปราบปรามการก่อการร้าย โดยปากีสถานมุ่งหวังความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน จากสหรัฐฯ ขณะที่ปากีสถานมีความสำคัญในด้านการทหารต่อสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่ช่วยรักษาความมั่นคง 
ตามแนวชายแดนด้านที่ติดกับอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธ 
ตาลีบัน นอกจากนี้ การที่ปากีสถานมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของปากีสถานในการถ่วงดุลความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการเมืองและความร่วมมือนิวเคลียร์ 
 
      ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา (Barack Obama) ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ประชาคมโลกเห็นด้วยกับท่าทีสหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาอัฟกานิสถานอีกครั้ง โดยเชื่อว่าอัฟกานิสถานจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงไม่ได้ หากปากีสถานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านสำคัญของอัฟกานิสถานยังขาดเสถียรภาพและความมั่นคง เนื่องจากปากีสถานเป็นเป้าหมายที่กลุ่มตาลีบันพยายามเข้ายึดครองเพื่อใข้เป็นฐานในการโจมตีสันติภาพของโลก ดังนั้น สหรัฐฯ จึงพยายามกดดันให้ปากีสถานร่วมสนับสนุนการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธในปากีสถาน ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่า เป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถานด้วย นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังคงโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินไร้นักบินในพื้นที่ต้องสงสัยว่ามีกลุ่มติดอาวุธในดินแดนปากีสถาน และมีทีท่าว่าจะยังคงโจมตีต่อไป แม้ว่าทางการปากีสถานจะแสดงความไม่พอใจและมีการต่อต้านจากชาวปากีสถานก็ตาม 
 
      นอกจากนี้ เมื่อเดือนเมษายน 2552 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้คำมั่นแก่ทางการปากีสถานว่าจะให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่ทางการทหาร (Non-Military Aid) มูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 5 ปี (ค.ศ. 2010 - 2014) สำหรับโครงการพัฒนาด้านต่างๆ อาทิ โรงเรียน โรงพยาบาล ถนน โครงการความช่วยเหลือด้านการเกษตรและโครงการพัฒนาอื่นๆ ซึ่งความช่วยเหลือดังกล่าวนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณาการ (Comprehensive Plan) ของสหรัฐฯ ที่ต้องการขจัดรากเหง้าของปัญหาการก่อการร้ายในปากีสถาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความยากจนของประชาชนโดยเฉพาะในเขตชนเผ่า (FATA) ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนอัฟกานิสถาน และเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มตาลีบัน โดยประธานาธิบดีโอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนาม
ประกาศใช้กฎหมาย Enhanced Partnership with Pakistan Act 2009 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2552 เสนอโดยวุฒิสมาชิก John Kerry และ Richard Lugar (Kerry - Lugar Act)
 
      อนึ่ง ในระหว่างการเยือนปากีสถานอย่างเป็นทางการของ นางฮิลลารี คลินตัน (Hilary Clinton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระหว่าง 28 - 30 ตุลาคม 2552 เพื่อกระชับความร่วมมือในการต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยฝ่ายสหรัฐฯ ได้ประกาศให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่า 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ปากีสถาน ในการซ่อมบำรุงโรงงานไฟฟ้า และพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และอีก 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับให้เป็นเงินกู้ (micro credit) แก่หญิงยากจนในปากีสถาน ทั้งนี้ นางคลินตันถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดของสหรัฐฯ ในรัฐบาลประธานาธิบดีโอบามาที่เดินทางมาเยือนปากีสถาน 
 
      ล่าสุด นายชาห์ มัคดูม มะห์มูด คูเรชิ (Shah Makhdoom Mahmood Qureshi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ได้นำคณะผู้แทนปากีสถานระดับสูงประกอบด้วย นายอะห์หมัด มุคตาร์ (Ahmed Mukhtar) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอกเปอร์เวซ คายานี (Parvez Kayani) ผู้บัญชาการทหารบกปากีสถาน เดินทางเยือนสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 23 - 25 มีนาคม 2552 เพื่อเข้าร่วมการประชุมกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยนางคลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายโรเบิร์ต เกท (Robert Gate) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเรือเอกไมค์ มุลเลน (Mike Mullen) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ทั้งนี้ ฝ่ายปากีสถานได้มอบเอกสารระบุขอบเขตความต้องการที่จะขอรับความร่วมมือในด้านต่างๆ จากสหรัฐฯ อาทิ ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงาน การขอความสนับสนุนเพื่อพัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์สำหรับกิจการพลเรือน ความร่วมมือด้านข่าวกรอง ตลอดจนการร้องขอเทคโนโลยีเครื่องบินรบแบบไร้ผู้ขับขี่ (Drone) เฮลิคอปเตอร์ และอาวุธยุทโธปกรณ์ด้านการทหารต่างๆ เพื่อใช้สำหรับต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถาน ได้ขอบคุณฝ่ายสหรัฐฯ ที่สัญญาว่า จะให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถานเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย และเชื่อว่า การเป็นหุ้นส่วนระหว่างปากีสถานกับสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่ายและต่อสันติภาพ ความมั่นคงระหว่างประเทศ กอปรกับเห็นว่า ปากีสถานมีพันธกิจในการสนับสนุนความพยายามของประชาคมระหว่างประเทศในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในอัฟกานิสถาน ขณะที่ นางคลินตันได้กล่าวชื่นชมปากีสถานที่ประสบความสำเร็จในการจับกุมแกนนำกลุ่มอัลกออิดะห์ (Al Qaeda) และตาลีบันได้หลายคน โดยสหรัฐฯ จะรักษาคำมั่นในการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ และยังคงประสงค์จะเป็นหุ้นส่วนกับปากีสถานในทุกด้าน เพื่อช่วยปากีสถานดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคต่อไปอย่างเต็มที่ อนึ่ง การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศปากีสถานดังกล่าว ก็เพื่อต้องการแสดงให้สหรัฐฯ เห็นว่า ปากีสถานได้ดำเนินการตามที่สหรัฐฯ ได้ร้องขอความร่วมมืออย่างเต็มที่แล้ว โดยฝ่ายสหรัฐฯ ควรตอบสนองข้อเรียกร้องของปากีสถานเป็นการตอบแทน ซึ่งปรากฏว่า ข้อเสนอหลายอย่างของฝ่ายปากีสถานได้รับการตอบสนองในเชิงบวกจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน 
 
      สำหรับจีน ปากีสถานมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างมีประเด็นความขัดแย้งกับอินเดีย ทั้งนี้ ประธานาธิบดี ซาร์ดารี แห่งปากีสถานได้เดินทางเยือนจีนเป็นประเทศแรกภายหลังเข้ารับหน้าที่ ระหว่างวันที่ 14 - 17 ตุลาคม 2551 โดยฝ่ายจีนสัญญาจะให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถานในด้านต่างๆ อาทิ ความร่วมมือด้านนิวเคลียร์ ซึ่งได้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า จีนมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับปากีสถานเพื่อถ่วงดุลกับอินเดียที่กำลังกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ 
 
      ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับอินเดียยังมีประเด็นความขัดแย้งสำคัญเกี่ยวกับการแย่งชิงอธิปไตยเหนือดินแดนแคชเมียร์ นับตั้งแต่แยกตัวเป็นเอกราช เมื่อปี 2491 และได้เกิดการแข่งขันการสะสมอาวุธ การผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศเคยมีสงครามใหญ่ 3 ครั้ง ขณะเดียวกัน ฝ่ายอินเดียเชื่อว่า ปากีสถานอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในอินเดีย อาทิ เหตุระเบิดเป็นระยะในแคว้นแคชเมียร์ เมืองมุมไบ และขยายถึงกรุงนิวเดลี โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายยึดรัฐสภาอินเดีย เมื่อธันวาคม 2544 และล่าสุดคือ เหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่เมืองมุมไบ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน ทั้งนี้ กลุ่มก่อการร้ายพร้อมอาวุธครบมือได้เข้ายึดโรงแรม Oberoi และโรงแรม Taj Mahal ในเมืองมุมไบ โดยกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว ได้พุ่งเป้าการโจมตีไปที่กลุ่มชาวต่างชาติ อาทิ ชาวสหรัฐฯ และอังกฤษ เนื่องจากเมืองมุมไบเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญของอินเดีย (ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2549 ได้เคยเกิดเหตุวางระเบิดสถานีรถไฟเมืองมุมไบ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 219 คน บาดเจ็บราว 711 คน) จากเหตุการณ์ที่เมืองมุมไบดังกล่าว ทางการอินเดียจึงได้เรียกร้องให้ปากีสถานยุติการให้ที่พักพิงแก่กลุ่มก่อการร้ายและเรียกร้องให้ปากีสถานส่งผู้ต้องสงสัยไปให้อินเดียดำเนินคดีอีกด้วย อย่างไรก็ดี ผู้นำปากีสถานได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของอินเดียอย่างสิ้นเชิง
 
      การที่อินเดียสามารถจับกุมกลุ่มก่อการร้ายชาวปากีสถานได้ จึงเป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า ฝ่ายปากีสถานยังไม่สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศได้ ซึ่งเหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี ปากีสถานได้แสดงท่าทีในทางบวกโดยการให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ และรัฐบาลอินเดียในการประกาศว่า องค์กร Jammaat-Ud-Dawa เป็นองค์กรก่อการร้าย (ซึ่งเชื่อว่าสนับสนุนการก่อการร้ายที่เมืองมุมไบ) และปิดการดำเนินการของกลุ่มฯ 
 
      ล่าสุด ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชียใต้ (The 16th South Asian Association of Regional Cooperation - SAARC) ครั้งที่ 16 ที่กรุงทิมพู ประเทศภูฏาน เมื่อวันที่ 28 - 29 เมษายน 2553 นายกรัฐมนตรีกิลลานีแห่งปากีสถาน ได้พบและหารือทวิภาคีกับ นายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์ แห่งอินเดีย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะปรับและทบทวนสถานะความสัมพันธ์ในปัจจุบัน ตลอดจนหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างกัน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงใจที่จะใช้แนวทางการหารือในระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และระดับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการเจรจาเพื่อหามาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความไว้วางในระหว่างกัน ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า พัฒนาการดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อการประชุมภายใต้กรอบ Composite Dialogue เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ที่ได้หยุดชะงักไปเมื่อเกิดเหตุก่อวินาศกรรมที่เมืองมุมไบ โดยกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรง เมื่อพฤศจิกายน 2551 
 
เศรษฐกิจและสังคม
 
     ก่อนหน้านี้ ปากีสถานมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศ พร้อมกับรับความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก เนื่องจากการให้ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และจากภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาระบสาธารณูปโภค โทรคมนาคม ภาคบริการและภาคการเกษตร อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา พบว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปากีสถานลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2550 - 2551 มีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 6 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7.2 ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยในห้วงปี 2548 - 2550 (ร้อยละ 5 - 8) ขณะที่ ปี 2551 - 2552 อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.7 นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมารัฐบาลยังประสบกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก คือ จากร้อยละ 5.7 - 5.9 (2548 - 2550) เป็นตัวเลขสองหลัก หรือ เฉลี่ยร้อยละ 18.9 ทั้งนี้ นอกจากปากีสถานจะประสบปัญหาการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะฝ้ายแล้ว ปากีสถานยังประสบปัญหาการก่อการร้ายโดยกลุ่มติดอาวุธและกลุ่มหัวรุนแรงที่รุมเร้ารัฐบาลจนทำให้ไม่สามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องได้ ซึ่งได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2550 - 2551 เหลือเพียง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2551 - 2552 และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างเดือนกรกฏาคม 2552 ถึงเดือนมีนาคม 2553 ปริมาณการลงทุนจากต่างประเทศมีมูลค่าเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
     แม้ว่าปากีสถานจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) จำนวนทั้งสิ้น 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี โดยส่งมอบเงินงวดแรกให้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 จำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และงวดต่อไป จำนวน 3.5 - 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 ทั้งนี้ สำหรับเงินกู้งวดแรก IMF กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.51 และเพิ่มเป็นร้อยละ 4.5 สำหรับเงินจำนวนที่เหลือ โดยมีกำหนดเริ่มชำระเงิน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 – 2555 จนถึงปี 2558 – 2559 โดยปากีสถานมีพันธกรณีกับ IMF ที่จะต้องดำเนินการ อาทิ ลดปัญหาการขาดดุลการคลัง (fiscal deficit) ให้เหลือเพียงร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยขยายอัตราการเก็บภาษีต่อ GDP ให้เพิ่มจากร้อยละ 9.6 ในปัจจุบัน ขึ้นเป็นร้อยละ 15 ในอีก 5 - 7 ปีข้างหน้า ยกเลิกการอุดหนุนด้านพลังงาน และลดการกู้ยืมจากธนาคารกลางและเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ เป็นต้น
 
      ขณะเดียวกัน ในเวทีการประชุม Pakistan Donors Conference and the Friends of Democratic Pakistan Ministerial Meeting ครั้งที่ 2 ที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ปากีสถานได้รับแจ้งจากประเทศพันธมิตรที่จะให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ ในเวทีการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป-ปากีสถาน (The EU-Pakistan Summit) ครั้งที่ 1 ที่ กรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2552 ที่ประชุมมีมติสนับสนุนปากีสถานทางด้านการเงินอีกเป็นจำนวนรวม 1.8 พันล้านยูโร
 
      สำหรับการค้าระหว่างประเทศ ปากีสถานประสบปัญหาการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องเนื่องจากตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา มีปัจจัยด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของปากีสถาน อาทิ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์การเมืองและความมั่นคงภายในประเทศที่ขาดเสถียรภาพ ผลผลิตในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ลดลงจึงทำให้ปัญหาการขาดดุลการค้าของปากีสถานมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นด้วย
 
      นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2551 มูลค่าการส่งออกสินค้าของปากีสถานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรที่ลดลง (เป็นผลจากการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่สูงขึ้น) ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าของปากีสถานสูงขึ้น เนื่องจากต้องนำเข้าน้ำมันและข้าวสาลีจำนวนมากในขณะที่ภาวะราคาสินค้าทั้งสองในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ปากีสถานยังต้องนำเข้าสินค้าประเภทน้ำมันเพื่อการบริโภค และเครื่องจักรเพิ่มขึ้นอีกด้วย
 
      ด้วยเหตุข้างต้น จึงส่งผลให้ปากีสถานขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น อาทิ ในปี 2550 - 2551 ปากีสถานส่งสินค้าออก 14,245 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 29,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุลการค้า 15,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในปี 2551 - 2552 ปากีสถานส่งสินค้าออก๑๖,๔๗๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 32,423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุลการค้า 15,951 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
 
      อนึ่ง ปัจจุบันปากีสถานได้เริ่มดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการกระตุ้นความสนใจต่อแหล่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีทางพุทธศาสนาในปากีสถาน โดยเฉพาะที่เมืองตักศิลา ทั้งนี้ ปากีสถานหวังว่า การท่องเที่ยวจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญอีกสาขาหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เพิ่งเริ่มต้น ซึ่งยังต้องพัฒนาความพร้อมอีกมากในหลายด้าน
 
ความสัมพันธ์
 
ความสัมพันธ์ทางการทูต
 
      ไทยกับปากีสถานได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2494  นอกจากนี้ ยังมีสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองการาจี ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลรัฐซินด์ (Sindh) และรัฐบาลูจิสถาน (Baluchistan) 
ด้านการเมืองและความมั่นคง
 
      ที่ผ่านมา ไทยและปากีสถานเป็นพันธมิตรกันมายาวนาน เคยเป็นสมาชิกในองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Treaty Organization - SEATO) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๔๙๗ แม้ว่าในปัจจุบันการดำเนินงานในกรอบของ SEATO จะยุติลงแล้ว แต่มิติทางประวัติศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างไทยกับปากีสถาน โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ
 
      ปากีสถานต้องการอาศัยความใกล้ชิดกับไทยเป็นช่องทางไปสู่การเพิ่มบทบาทในเอเชียและกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก (ตามนโยบาย Look East ของปากีสถาน) ด้วยเหตุนี้ปากีสถานจึงให้ความร่วมมือกับไทยทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี เช่น การแสดงความกระตือรือร้นในเวที Asia Cooperation Dialogue (ACD) ที่ไทยริเริ่มขึ้น (โดยปากีสถานเป็นเจ้าภาพการประชุม ACD ครั้งที่ 4 เมื่อเดือนเมษายน 2548 ที่ กรุงอิสลามาบัด) ขณะที่ไทยสนับสนุนให้ปากีสถานมีบทบาทแข็งขันในเวที ASEAN Regional Forum (ARF) โดยเฉพาะการขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย โดยไทยและปากีสถานมีการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมเฉพาะเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีกลไกคณะทำงานร่วมด้านความมั่นคง เพี่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในการต่อต้านการก่อการร้าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและงานข่าวกรอง นอกจากนี้ ไทยได้รับความร่วมมือจากปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเวทีองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference - OIC) และเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในภาคใต้ของไทย
 
      ปัจจุบัน มีนักเรียนไทยราว 260 คน ศึกษาด้านศาสนาในปากีสถาน โดยมีการจัดตั้งสมาคมมิตรภาพไทย-ปากีสถานในประเทศทั้งสองด้วย นอกจากนี้ ปากีสถานยังมีแหล่งวัฒนธรรมและโบราณคดีทางพุทธศาสนาจำนวนมากในบริเวณตอนเหนือของประเทศ เช่น เมืองตักศิลา และปากีสถานประสงค์ให้ไทยช่วยเหลือและพัฒนาสถานที่ทางศาสนาเหล่านั้นเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งปากีสถานมีแผนที่จะเผยแพร่ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนากับประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งไทยได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนแก่ปากีสถานในรูปของความร่วมมือทางวิชาการและการถ่ายทอดประสบการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของไทยอีกด้วย
 
 
ด้านเศรษฐกิจ 
 
     ไทยกับปากีสถานมีกลไกความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ คณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจ (Joint Economic Commission - JEC) ซึ่งได้จัดประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง การประชุม JEC ครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่กรุงอิสลามาบัด เมื่อปี 2542 และการประชุม JEC ครั้งที่ 2 จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2545 โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและติดตามความคืบหน้า เพื่อร่วมกันผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจสาขาต่างๆ ทั้งนี้ สำหรับการประชุม JEC ครั้งที่ 3 ซึ่งเดิมมีกำหนดจะจัดขึ้นที่กรุงอิสลามาบัดในช่วงปลายปี 2551 แต่ก็ต้องเลื่อนไปเนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในปากีสถานยังไม่เอื้ออำนวย แต่คาดว่าฝ่ายปากีสถานอาจจัดการประชุมได้ในครึ่งหลังของปี 2553
 
      ปัจจุบันไทยให้ความสำคัญกับปากีสถานในฐานะตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ กอปรกับปากีสถานมีความสนใจที่จะขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับไทย ทั้งนี้ ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายชอกัต อาซีซ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน (ในขณะนั้น) เมื่อพฤษภาคม 2548 ฝ่ายปากีสถานได้เสนอขอจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area – FTA) ไทย-ปากีสถาน โดยทั้งสองฝ่ายจึงได้จัดตั้งกลุ่มศึกษาร่วม (Joint Study Group - JSG) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลง FTA ระหว่างกัน ซึ่ง JSG ได้ทำการศึกษาสำเร็จแล้ว เมื่อมกราคม 2550 โดยได้สรุปว่า การจัดทำ FTA จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายในการส่งเสริมและขยายการค้า บริการ และการลงทุนระหว่างกัน ขณะที่ฝ่ายไทย โดยกระทรวงพาณิชย์กำลังหารือเพื่อรับทราบข้อคิดเห็นและผลกระทบจากธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปากีสถานเพื่อประกอบการพิจารณาท่าทีไทยต่อการจัดตั้ง FTA ไทย-ปากีสถานต่อไป
 
     นอกจากนี้ โดยที่ปากีสถานได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ ดังนั้น ในอนาคต เศรษฐกิจปากีสถานจึงมีแนวโน้มที่จะขยายตัว อาทิ อุตสาหกรรมการก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค โทรคมนาคม ที่อยู่อาศัย ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ขณะเดียวกัน ไทยอาจใช้ปากีสถานเป็นทางผ่านของสินค้าไปสู่ตลาดอัฟกานิสถาน (ประชากร 29 ล้านคน) และภูมิภาคเอเชียกลาง (ประชากร 59 ล้านคน) ซึ่งมีความต้องการสินค้าบริโภคจำนวนมาก
 
 
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
 
      เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2548 บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและไร้ที่อยู่อาศัยจำนวนมาก โดยในขณะนั้น ภาครัฐและเอกชนของไทยได้ให้ความช่วยเหลือแก่ปากีสถาน ในรูปของเงินช่วยเหลือและสิ่งของบรรเทาทุกข์รวมทั้งสิ้น คิดเป็นมูลค่า 18 ล้านบาท
 
     ที่สำคัญยิ่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ เยือนปากีสถานระหว่างวันที่ 4 - 5 มกราคม 2549 เพื่อทรงนำสิ่งของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปพระราชทานแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวด้วยพระองค์เอง โดยสิ่งของพระราชทานความช่วยเหลือมีมูลค่า 18 ล้านบาท
 
      นอกจากนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองทัพปากีสถานและกองกำลังตาลีบันบริเวณเขต Malakand และหุบเขา Swat ในเขตชนเผ่า ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานตามแนวเขตแดนด้านที่ติดต่อกับอัฟกานิสถาน ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2552 ส่งผลให้รัฐบาลปากีสถานประสบกับปัญหาวิกฤติด้านมนุษยธรรม โดยมีผู้อพยพพลัดถิ่นชาวปากีสถาน จำนวนราว 2 ล้านคน ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิตรในฐานะมิตรประเทศต่อปากีสถาน รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (ในรูปเงินสด) จำนวน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ แก่รัฐบาลปากีสถานเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 โดยส่งมอบผ่าน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอิสลามาบัด
 
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
 
      ไทยและปากีสถานต่างเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน และมีความเกี่ยวพันระหว่างภาคประชาชน โดยมีชุมชนคนไทยในปากีสถานมาช้านาน นอกจากกลุ่มคนที่สมรสกับชาวปากีสถานและไปประกอบอาชีพต่างๆ แล้ว ยังมีกลุ่มนักเรียนไทยประมาณ 260 คน ไปศึกษาศาสนาในปากีสถาน โดยมีการจัดตั้งสมาคมมิตรภาพไทย – ปากีสถาน และหอการค้าไทย – ปากีสถานด้วย นอกจากนี้ ชาวปากีสถานที่มีรายได้ดีจะนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศและไทยเป็นประเทศเป้าหมายสำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมที่สวยงามแล้ว ไทยยังมีสินค้าต่างๆ ให้เลือกซื้อมากมาย ขณะที่นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับปากีสถานในฐานะแหล่งท่องเที่ยวมากนัก
 
     อย่างไรก็ดี โดยที่ปากีสถานมีแหล่งวัฒนธรรมและโบราณคดีทางพุทธศาสนาจำนวนมากในบริเวณตอนเหนือของประเทศ เช่น เมืองตักศิลา และปากีสถานประสงค์ให้ไทยช่วยเหลือและพัฒนาสถานที่ทางศาสนาเหล่านั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยปากีสถานมีแผนจะเผยแพร่และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งไทยก็สนับสนุนเรื่องนี้ในรูปของความร่วมมือทางวิชาการและการถ่ายทอดประสบการณ์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของไทย เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความร่วมมือระหว่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลามในการอนุรักษ์โบราณสถานทางพุทธศาสนา